ความเครียด คิดมาก ทำงานหนักพักผ่อนน้อย นั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ (เป็นที่นิยมกันมากสมัยนี้ต้องนั่งก้มหน้าจิ้ม iPad บางคนเครียดเพราะเล่นเกมส์ไม่ผ่านก็ยังมีนะคะ) ทำให้กล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ตึง เลือด – ลมไหวเวียนไม่สะดวก ขึ้นชื่อว่าไมเกรน ถ้าใครไม่เคยเป็นย่อมไม่เคยจะรู้หรอกว่าความทรมานมันมากมายสักเพียงไหน หากได้ปวดไมเกรนขึ้นมาแล้วละก็ งานการไม่ต้องทำกัน กินยาแก้ปวดแล้วนอนอย่างเดียว ครั้นจะห้ามไม่ให้เครียด ไม่ให้ปวดก็ไม่ได้เสียด้วย อาการปวดไมเกรนมักจะมีอาการปวดตุบๆ อาจจะไม่มากนักหรือปวดอย่างรุนแรจนทำงานไม่ไหว โดยมากมักจะปวดข้างเดียว หรืออาจจะซ้ายขวาสลับกัน บางรายอาจปวดมากจนมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย สาเหตุของไมเกรนที่ชัดเจนนั้นยังไม่ทราบ แต่จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกทางประสาท โดยมากมักเกิดเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งเร้าต่างๆที่ทำให้เกิดไมเกรน เช่น – ความเครียด ไม่ว่าจะจากการทำงาน หรือเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวัน ความวิตกกังวล ซึมเศร้า คิดมาก – แสงจ้า เสียงดัง กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เช่น กลิ่นฉุนเกินไปของน้ำหอม ควันบุหรี่ ควันรถยนต์ – สภาพอากาศที่ร้อนจัด หรือเย็นจนเกินไป ก็เป็นสาเหตุของการปวดไมเกรนด้วย การรักษาและการป้องกัน โดยมากจะต้องรับประทานยาแก้ปวด แล้วพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น การทำสมาธิ การฝังเข็ม และแพทย์ทางเลือกอื่นๆก็เป็นตัวเลือกที่ผู้ที่มีอาการไมเกรนตัดสินใจรักษาร่วมด้วย การหลีกเลี่ยงจากปัจจัยที่ทำให้อาการปวดไมเกรนกำเริบ ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่คนปวดไมเกรนต้องหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการกำเริบอีกด้วย การรักษาอาการไมเกรนด้วยวิธีกัวซา ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาอาการปวดไมเกรนได้ มาดูกันค่ะว่าการขูด กัวซาคลายเครียด รักษาไมเกรนนั้น เค้าขูด กัวซาไมเกรน
ความเครียด คิดมาก ทำงานหนักพักผ่อนน้อย นั่งจ้องจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ (เป็นที่นิยมกันมากสมัยนี้ต้องนั่งก้มหน้าจิ้ม iPad บางคนเครียดเพราะเล่นเกมส์ไม่ผ่านก็ยังมีนะคะ) ทำให้กล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ ตึง เลือด – ลมไหวเวียนไม่สะดวก ขึ้นชื่อว่าไมเกรน ถ้าใครไม่เคยเป็นย่อมไม่เคยจะรู้หรอกว่าความทรมานมันมากมายสักเพียงไหน หากได้ปวดไมเกรนขึ้นมาแล้วละก็ งานการไม่ต้องทำกัน กินยาแก้ปวดแล้วนอนอย่างเดียว ครั้นจะห้ามไม่ให้เครียด ไม่ให้ปวดก็ไม่ได้เสียด้วย
อาการปวดไมเกรนมักจะมีอาการปวดตุบๆ อาจจะไม่มากนักหรือปวดอย่างรุนแรจนทำงานไม่ไหว โดยมากมักจะปวดข้างเดียว หรืออาจจะซ้ายขวาสลับกัน บางรายอาจปวดมากจนมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
สาเหตุของไมเกรนที่ชัดเจนนั้นยังไม่ทราบ แต่จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกทางประสาท โดยมากมักเกิดเมื่อต้องเผชิญกับสิ่งเร้าต่างๆที่ทำให้เกิดไมเกรน เช่น
การรักษาและการป้องกัน โดยมากจะต้องรับประทานยาแก้ปวด แล้วพักจนกว่าอาการจะดีขึ้น การทำสมาธิ การฝังเข็ม และแพทย์ทางเลือกอื่นๆก็เป็นตัวเลือกที่ผู้ที่มีอาการไมเกรนตัดสินใจรักษาร่วมด้วย
การหลีกเลี่ยงจากปัจจัยที่ทำให้อาการปวดไมเกรนกำเริบ ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่คนปวดไมเกรนต้องหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้อาการกำเริบอีกด้วย
การรักษาอาการไมเกรนด้วยวิธีกัวซา ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยรักษาอาการปวดไมเกรนได้ มาดูกันค่ะว่าการขูด กัวซาคลายเครียด รักษาไมเกรนนั้น เค้าขูด กัวซาไมเกรน กันตรงไหนบ้าง
อาการปวดหัวนั้นมีหลากหลาย บ้างก็ปวดหัวตรงกลาง บ้างก็ปวดตรงขมับ มึน งง เวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งปวดหัวข้างเดียวอย่างที่รู้จักในชื่อ “ไมเกรน” หรือ ลมตะกัง ซึ่งหลาย ๆ คนมีอาการเช่นนี้อยู่ จึงรู้ดีว่ามันทุกข์ทรมานมากขนาดนี้ นิตยสารหมอชาวบ้าน มีข้อเท็จจริงน่ารู้เกี่ยวกับโรคไมเกรนมาบอกกัน
สาเหตุที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด ทราบว่าไม่มีความผิดปกติของโครงสร้างทางกาย (รวมทั้งสมอง) แต่ทุกครั้งที่กำเริบ จะมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและกลไกทางประสาทภายในสมองและบริเวณใบหน้า กล่าวคือ หลอดเลือดภายในกะโหลกศีรษะหดตัว ในขณะที่หลอดเลือดภายนอกกะโหลกศีรษะ (เช่น ที่ขมับ) พองตัว และประสาทไวต่อสิ่งกระตุ้นให้เกิดการเจ็บปวด ทำให้มีอาการปวดศีรษะที่มีลักษณะจำเพาะและอาการต่าง ๆ ร่วมด้วย
โรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของผู้ป่วยมีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นไมเกรนด้วย
โรคนี้มักมีอาการปวดศีรษะกำเริบเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่กำเริบ มักจะมีสาเหตุกระตุ้นล่วงหน้า เป็นชั่วโมงถึง 2วันเสมอ ผู้ป่วยควรสังเกตว่ามีอะไรเป็นเหตุกำเริบ หรือสิ่งกระตุ้นบ้าง (มักมีได้มากกว่า 1 อย่าง) เช่น
คือ มีอาการปวดตุบ ๆ (ตามจังหวะชีพจร) ที่ขมับข้างเดียว (พบได้ร้อยละ 70-80) หรือ 2 ข้าง (พบได้ร้อยละ 20-30) แต่ละครั้งจะปวดติดต่อกันนาน 4-72 ชั่วโมง (ในกรณีที่ปวดข้ามคืน ช่วงนอนหลับจะทุเลาชั่วคราว พอตื่นนอนก็จะปวดต่อ) แม้ไม่ได้กินยา เมื่อปวดถึงจังหวะหนึ่งก็จะค่อย ๆ ทุเลาไปได้เอง แต่ถ้ารีบกินยาแก้ปวดเมื่อเริ่มมีอาการกำเริบ ก็จะช่วยให้ทุเลาได้เร็ว
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการคลื่นไส้ร่วมกับปวดศีรษะ และมักจะปวดแรงขึ้นเมื่อสัมผัสสิ่งกระตุ้น เช่น ได้ยินเสียงดัง เห็นแสงจ้า ฝืนทำงาน เคลื่อนไหวร่างกาย หรือขึ้นลงบันได ผู้ป่วยมักจะหยุดพักและหลบเลี่ยงสิ่งกระตุ้นดังกล่าว เช่น นั่งหรือนอนพักในห้องที่อากาศสบาย ๆ สลัว ๆ เงียบ ๆ ถ้าได้หลับสักตื่นอาการปวดมักจะทุเลา
ขณะปวดเต็มที่ มักคลำได้หลอดเลือดที่ขมับข้างที่ปวดพองตัว บางครั้งหลังปวดเต็มที่แล้ว อาจมีอาการอาเจียน แล้วการปวดก็จะค่อยทุเลาไป
บางราย ก่อนปวดอาจมีอาการเตือนก่อนปวด คือ มีอาการทางสายตา (aura) เช่น ตาพร่า ตาลาย เห็นแสงสีรุ้ง เห็นดวงขาว ๆ หรือมองเห็นภาพที่ผิดเพี้ยนไปจากปกติประมาณ 15-30 นาที นำร่องมาก่อน และจะหายไปเมื่อเริ่มเกิดอาการปวดศีรษะ
มักมีอาการครั้งแรกตอนวัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว (ในวัยเด็กเล็ก อาจมีอาการเมารถ เมาเรือง่าย มาก่อน) อาการปวดมักกำเริบเป็นครั้งคราวเมื่อถูกเหตุกำเริบหรือสิ่งกระตุ้น อาจเดือนละครั้งหรือหลายครั้ง หรือนาน ๆ ที ส่วนใหญ่มักมีโอกาสกำเริบไปตลอดชีวิต บางรายอาจหายขาด เมื่อพ้นวัย 55 ปีไปแล้ว ผู้ที่มีอาการกำเริบบ่อยมาก (เช่น ปวดแทบทุกวัน) อาจมีโรคซึมเศร้า หรือโรควิตกกังวลร่วมด้วย
โดยทั่วไป ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายใด ๆ ยกเว้น หญิงที่เป็นไมเกรนแบบมีอาการเตือน คือ มีอาการสายตา (aura) นำร่องก่อนปวด หากสูบบุหรี่ หรือกินยาเม็ดคุมกำเนิด ก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (อัมพาตครึ่งซีก) ได้มากกว่าคนทั่วไป
ถ้าคลื่นไส้มาก ให้กินยาแก้คลื่นไส้อาเจียน (ตามคำแนะนำของหมอ) ควบไปด้วย ในกรณีที่ใช้พาราเซตามอลไม่ได้ผล (พบได้ประมาณร้อยละ 20-30) แพทย์อาจให้ยาบรรเทาชนิดอื่น เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) ทามาดอล (tamadol) เออร์โกทามีน (ergotamine) ชูมาทริปแทน (sumatriptan) เป็นต้น ซึ่งควรกินเป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาปวดหัวไมเกรน
ควรสังเกตว่ามีอะไรเป็นเหตุกำเริบหรือสิ่งกระตุ้น (มักมีมากกว่า 1 อย่าง) แล้วหาทางหลีกเลี่ยงเสีย
ถ้าเป็นบ่อยหรือรุนแรงจนเสียงาน แพทย์จะให้ยากินป้องกันนาน ครั้งละ 3-6 เดือน ยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน (amitriptyline) นอร์ทริปไทลีน (nortriptyline) โพรพราโนลอล (propranolol) อะทิโนลอล (atenolol) โทพิราเมต (topiramate) ยาเหล่านี้อาจมีข้อระวังในการใช้ จึงต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาสั่งใช้ให้เหมาะกับผู้ป่วย แต่ละรายที่อาจมีภาวะสุขภาพหรือมีการใช้ยาอื่น ๆ อยู่ก่อน ซึ่งอาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ กินยาแก้ปวดไม่บรรเทา ตาข้างที่ปวดมีอาการตาพร่ามัว ตาแดง (มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวคล้ายไมเกรน แต่ปวดหน่วงอย่างรุนแรงในลูกตามากกว่าปวดตุบที่ขมับ เป็นการปวดครั้งแรกที่พบในคนวัยกลางคนขึ้นไป)
โรคไมเกรนหรือโรคปวดหัวข้างเดียว (อังกฤษ: migraine) เป็นความผิดปกติทางประสาทเรื้อรังอย่างหนึ่ง ลักษณะเด่นคือปวดศีรษะปานกลางถึงรุนแรงเป็นซ้ำ มักสัมพันธ์กับอาการทางระบบประสาทอิสระจำนวนหนึ่ง
ตรงแบบ อาการปวดศีรษะมีผลต่อศีรษะครึ่งซีก มีสภาพปวดตามจังหวะ (หัวใจเต้น) และกินเวลาตั้งแต่ 2 ถึง 72 ชั่วโมง อาการที่สัมพันธ์อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน และไวต่อแสง เสียงหรือกลิ่น โดยทั่วไปความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นจากกิจกรรมทางกาย [1] ผู้ป่วยไมเกรนถึงหนึ่งในสามมีสัญญาณบอกเหตุ (aura) คือ การรบกวนภาพ การรับความรู้สึก ภาษาหรือการสั่งการร่างกายซึ่งบ่งบอกว่าจะเกิดปวดศีรษะในไม่ช้า [1] บางครั้งสัญญาณบอกเหตุเกิดได้โดยมีการปวดศีรษะตามมาน้อยหรือไม่ปวดเลย
เชื่อว่า ไมเกรนมีสาเหตุจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรมผสมกัน [2] ผู้ป่วยประมาณสองในสามเป็นในครอบครัว [3] การเปลี่ยนระดับฮอร์โมนผสมกัน เพราะไมเกรนมีผลต่อเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงเล็กน้อยก่อนวัยเริ่มเจริญพันธุ์ แต่ในผู้ใหญ่ หญิงเป็นมากกว่าชายประมาณสองถึงสามเท่า [4] [5] ความเสี่ยงของไมเกรนปกติลดลงระหว่างการตั้งครรภ์ [4] ยังไม่ทราบกลไกที่แน่ชัดของไมเกรน แต่เชื่อว่าเป็นความผิดปกติของประสาทควบคุมหลอดเลือด [3] ทฤษฎีหลักสัมพันธ์กับการเร้าได้ (excitability) ที่เพิ่มขึ้นของเปลือกสมองและการควบคุมผิดปกติของเซลล์ประสาทรับความเจ็บปวดในนิวเคลียสของประสาทไทรเจมินัลในก้านสมอง [6]
เริ่มต้น การรักษาแนะนำ คือ ยาระงับปวดธรรมดา เช่น ไอบูโปรเฟนและพาราเซตามอล (หรืออะเซตามิโนเฟน) สำหรับปวดศีรษะ ยาแก้อาเจียนสำหรับคลื่นไส้ และการเลี่ยงตัวกระตุ้น อาจใช้สารเฉพาะเช่น ทริพแทนหรือเออร์โกทามีนในผู้ที่ยาระงับปวดธรรมดาใช้ไม่ได้ผล 15% ของประชากรทั่วโลกเคยเป็นไมเกรนครั้งหนึ่งในชีวิต
อาการปวดศีรษะไมเกรนเกี่ยวข้องกับหลอดเลือด สารชีวเคมีกลุ่ม peptide สารก่อการอักเสบที่ปลายประสาท Trigeminal และระบบประสาท โดยกลไกการเกิดล่าสุดที่พบ คือ genetic mutation ซึ่งผลของความผิดปกติของยีนส์เหล่านี้ทำให้มีปริมาณโปแทสเซียมและกลูตาเมตภายนอกเซลล์มากขึ้นซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของหลอดเลือดร่วมกับการกระตุ้นประสาทส่งผลให้การไหลเวียนเลือดเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ จากการขยายเส้นเลือดบริเวณศีรษะ หลังจากนั้นจะมีการไหลเวียนเลือดน้อยลงจากการหดหลอดเลือดบริเวณศีรษะ ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะที่มีการกดประสาทจากการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือด นี้ทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรนขึ้น
อาการปวดศีรษะไมเกรนมักจะปวดศีรษะครึ่งซีก แต่บางครั้งเป็นสองข้างก็ได้ โดยมักกินเวลาปวด 4-72 ชั่วโมง ซึ่งมักจะมีการปวดตุ๊บๆ และส่วนมากจะพบอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย รวมถึงอาจมีหรือไม่มีอาการนำทางสายตา เช่น เห็นแสงซิกแซก, แสงวาบ เป็นต้น อาการปวดศีรษะไมเกรนแบ่งตามอาการนำได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
แบ่งออกเป็น 5 ระยะ คือ ระยะอาการนำ (Prodrome), ระยะออรา (aura), ระยะปวดศีรษะ, ระยะหายปวดศีรษะ (Resolution) และระยะภายหลังจากหายปวดศีรษะ (Postdrome) อาการแสดงทางคลินิกนี้ ผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีอาการที่แตกต่างกัน เช่น migraine without aura จะไม่พบระยะออรา เป็นต้น
ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของโรคไมเกรน [7] มีหลากหลาย ผู้ป่วยแต่ละรายควรสังเกตว่าปัจจัยใดบ้างที่กระตุ้นอาการปวดศีรษะในตัวเอง ซึ่งจะได้หลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านั้น ซึ่งปัจจัยกระตุ้นได้แก่
แนวทางการวินิจฉัยไมเกรนใช้หลักเกณฑ์ของ International Headche Society (IHS) ซึ่งจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
ไมเกรน เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่เกิดจากความผิดปกติระบบประสาทที่หลอดเลือดแดงบริเวณศีรษะ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังไม่หายขาด ซึ่งอาจจะเป็นๆ หายๆ จึงควรได้รับการวินิจฉัยแยกจากกลุ่มที่มีอาการคล้ายไมเกรน เช่น Cluster Headche, Tension Headcheลักษณะที่สำคัญของไมเกรน ประกอบด้วย ส่วนใหญ่มักจะปวดศีรษะข้างเดียวประมาณ 60% หรือจะมีอาการปวดศีรษะทั้ง 2 ข้างก็ได้ โดยทั่วไปจะมีอาการปวดศีรษะนาน 4-72 ชั่วโมงและมักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและเวียนศีรษะร่วมด้วย รวมถึงอาการกลัวแสงหรืออาการกลัวเสียงได้
แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไมเกรน มีทั้งให้การรักษาแบบไม่ใช้ยาโดยการให้ความรู้แก่ผู้ป่วยเกี่ยว พยาธิกำเนิด ปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ รวมถึงการปรับเปลี่ยนวิถึชีวิต และการรักษาแบบใช้ยา โดยจำแนกออกเป็นยาป้องกันไมเกรนที่ต้องรับประทานทุกวันสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการตั้งแต่ 3 ครั้งต่อเดือน และยารักษาอาการปวดศีรษะเฉียบพลัน
โรคไมเกรนที่ไม่มีอาการนำ
โรคไมเกรนที่มีอาการนำ
เนื่องด้วยการปวดศีรษะไมเกรน การดูแลรักษาจึงมีจุดประสงค์เพื่อควบคุมการปวดไม่ให้รบกวนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งการรักษาจะได้ผลดีจะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยในการลดปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวด การรักษาด้วยยามี 2 วัตถุประสงค์ คือ รักษาอาการปวดในระยะเฉียบพลัน และ การป้องกันการปวดศีรษะไมเกรน
ยากลุ่มนี้จะใช้บรรเทาอาการปวดเมื่อมีอาการปวดศีรษะเท่านั้น ไม่ได้ลดความถี่ในการเกิดหรือใช้ป้องกัน ยาในกลุ่มนี้ได้แก่
ยาแก้อักเสบชนิดไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) เช่น Ibuprofen, Naproxen sodium, Paracetamol, Aspirin เป็นต้น
Ergot alkaloid เช่น ergotamine+caffeine tablet (Cafergot®)
Triptans เช่น Sumatriptan, Naratriptan
การเลือกใช้ยากลุ่มนี้เมื่อมีข้อที่ควรพิจารณาดังนี้
การเลือกใช้ยาในแต่ละกลุ่มควรคำนึงถึงประสิทธิภาพและโรคร่วมอื่นๆ ของผู้ป่วยที่เป็นอยู่ โดยควรเริ่มต้นจากขนาดยาน้อยๆ ปรับเพิ่มทีละนิดจนได้ขนาดยาที่ต้องการ เมื่อใช้ยาได้ประมาณ 3 เดือน ให้ประเมินความถี่และความรุนแรงของอาการว่าลดลงหรือไม่ โดยส่วนมากยาจะได้ผลเมื่อรับประทานต่อเนื่อง 1 เดือนขึ้นไป เมื่อยาได้ผลควรทานอย่างน้อยนาน 6 เดือน แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาลงทีละนิด จะหยุดไปเลย เพื่อป้องกันการเกิด rebound headache ยาป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่
?-blocker จัดเป็นยา first line drug ของยาป้องกันอาการปวดศีรษะไมเกรน เช่น Propranolol, Atenolol
Calcium blocker เช่น Verapamil, Flunarizine
Tricyclic antidepressants เช่น Amitriptyline
Anticonvalsants เช่น Sodium valproate