โทร  081 428 9569  |  02 716 9767

Top

โรคขัดเบา ลักษณะของโรค ขัดเบา หรือ ในทางการแพทย์หมายถึงกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ส่วนมากเกิดจากเชื้อแบคทีเรียชนิดเดียวกับที่อยู่ในลำไส้ของคน เราโดยเข้าไปทางท่อปัสสาวะ โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า เนื่องจากท่อ ปัสสาวะของผู้หญิงสั้น และอยู่ใกล้ทวารหนักซึ่งเป็นแหล่งที่มีเชื้อโรคมาก เชื้อโรคจึงเข้า ทางท่อปัสสาวะของผู้หญิงได้ง่ายกว่าผู้ชาย ทั้งนี้ผู้หญิงแทบทุกคนมีโอกาสเป็นโรคขัดเบา ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยสูงอายุ พบมากในผู้หญิงที่ตั้ง ครรภ์(โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์) หรือผู้หญิงที่ชอบอั้นปัสสาวะนาน ๆและอาจพบว่าเป็นโรคแทรกของผู้ป่วยเบาหวาน นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูก หมากโต หรือพบภายหลังการสวนปัสสาวะ ผู้หญิงที่แต่งงานใหม่ หรือหลังร่วมเพศ อาจมีอาการขัดเบาแบบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แพทย์เรียกว่า โรค ฮันนีมูน (Honeymoon's cystitis) สาเหตุเกิดจากการฟกช้ำจากการร่วมเพศ แล้วทำให้มีอาการอักเสบของท่อปัสาวะ ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคขัดเบานี้น้อยมาก ถ้าพบมักมีความผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ต่อมลูก หมากโตหรือมีก้อนเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ หรือมีความผิดปกติทาง โครงสร้างของ ทางเดินปัสสาวะ อาการของโรค ผู้ที่มีปัญหาโรคขัดเบา มักมีอาการปัสสาวะกะปริดกะปรอย (ออกทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง) รู้สึกปวดขัด หรือแสบร้อนเวลาถ่าย...

สมรรถภาพตื่นตัวครอบครัวเป็นสุข ความสวยสดใสสื่อผลพลอยได้ทำไมขูดกัวซา (ขูดพิษ) แล้วต้องให้ทานยาสมุนไพรไทยด้วย สาเหตุจากประสบการณ์มีมากกว่า 10 ปี ถ้าหากขูดพิษอย่างเดียวไม่ทานยาจะหายได้ 40% ถ้าไม่ทานยาล้างพิษและยาปรับธาตุทั้ง 4 ให้บริบูรณ์ เพราะคนเราเกิดมาจากธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าธาตุหนึ่งธาตุใด เกิดกำเริบ หย่อน พิการ ก็จะเจ็บป่วยได้ตามธาตุนั้นๆ คนโบราณเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรคกษัย คือโรคความเสื่อมของระบบภายในร่างกายนั่นเอง การขูดพิษเสร็จแล้วจำเป็นที่สุดต้องทานยาประจุดรอบโรคทั้งปวงเพื่อถ่ายพิษที่สะสมอยู่ในร่างกาย ถ่ายลม โลหิตที่เสียและถ่ายโรคกษัย เพราะในตำรายาแผนโบราณท่านกล่าวไว้ว่า คนที่จะเป็นหมอที่เก่งพึงจำใส่ใจไว้ว่าก่อนที่จะรักษาโรคใดๆ ควรถ่ายพิษภายในเสียให้สิ้นโรคจะได้ไม่ดื้อยา เพราะในร่างกายของเราอุดมไปด้วยพิษ ยิ่งลำไส้เล็กและสำไส้ใหญ่มีไขมันเกาะมาก ระบบการดูดซึมสารอาหารและวิตามินไปสู่ผิวไม่ดี ผิวก็ไม่ใส ยิ่งคนที่ท้องผูกเป็นประจำแล้วก็ยิ่งหนัก ขอบตาจะดำคล้ำ ผิวหนังก็จะคล้ำลง นิ้วมือนิ้วเท้าตรงข้อจะดำกว่าปกติ อุ้งมือจะร้อน ท้องก็อืด ปวดเมื่อยไปทั้งตัว สารพัดโรคก็ตามมา โอกาสเป็นอัมพฤต อัมพาตมีค่อนข้างสูง เพราะเลือดมันหนืด...

กวาซา กวาซา คนเรามักจะพูดว่ากันไว้ดีกว่าแก้ สำหรับโรคภัยไข้เจ็บ แทนที่จะตรงเจอแล้วค่อยรักษา สู้เราป้องกันไว้ก่อนไม่ให้เกิดโรคดีกว่า ก็เพราะคนเรามีความเชื่อเช่นนี้ ทำให้ปัจจุบันเกิดศาสตร์ที่เน้นในการป้องกันโรคมากมาย และเกิดความเชื่อต่างๆ เพื่อป้องกันโรค บางคนเชื่อว่าทานยาสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ลืมนึกถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากยานั้น ที่จริงวิธีป้องกันโรคที่เห็นผลเร็วที่มักสะดวกที่สุดและประหยัดที่สุด เป็นวิธีเก่าแก่และกำลังได้รับความนิยมอีกครั้งโดยปราศจากการใช้ยาเราเรียกกันว่า “กวาซา” (ขูดพิษ) กวาซามีต้นกำเนิดจากภูมิปัญญาชาวบ้าน เคยเป็นที่นิยมแพร่หลายในประวัติศาสตร์จีน ถือว่าเป็นวิธีรักษาแบบธรรมชาติของจีน กวาซาอยู่ในสังคมจีนมากกว่าพันปีโดยไม่สูญหาย ส่วนของไทยเรา ดิฉันได้พบเป็นการรักษาแบบล้านนาเรียว่า วิธีการแหกพิษ คือการขูดเอาพิษหรือสารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายให้ออกมานอกผิวหนัง มีมาแล้ว 200-300 ปี ก็น่าจะสืบทอดมาจากทางจีนเช่นกัน ดิฉันได้พบหนังสือเล่มหนึ่งแต่งขึ้นโดยแพทย์หญิง จาง สิ่วฉิน และ รองศาสตร์จารย์นายแพทย์ ห่าววันชาน ทั้งคู่ได้รับการกล่าวขานอย่างมากจากผุ้ป่วยและบรรดาผู้สนใจวิธีรักษาแบบกวาซา หนังสือนี้ได้อธิบายวิธีรักษาแบบกวาซาอย่างเป็นระบบ โดยรวมเอาหลักการรักษาแพทย์แผนจีนที่เน้นเส้นลมปราณและทฤษฎีพื้นฐานจากการแพทย์ตะวันตก จนพัฒนาวิธีการรักษากวาซาไว้ได้อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น ท่านกล่าวไว้ว่า วิธีการรักษาแบบกวาซา เป็นการฝังเข็มที่ไม่จำเป็นที่ต้องทิ่มทะลุผิวหนัง เป็นการถ่ายเลือดโดยไม่มีเลือดไหล ดิฉันเองก็ได้ศึกษาเรียนแพทย์แผนไทยจบเวชกรรมไทยมา จึงได้นำตำรานวดไทยและยาไทยมาประยุกต์ระหว่างของไทยและจีน จนเป็นที่ยอมรับของคนไข้ที่มารักษาที่คลินิกว่าวิธีการขูดพิษของดิฉัน เป็นการรักษาโรคได้ ที่ได้ผลดีและไม่มีผลข้างเคียง ซ้ำยังทำให้มีสุขภาขดีขึ้น กลับเป็นหนุ่มสาว...

มาพูดกันถึงวิธีขูด กัวซา ที่เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ถึงแม้วิธีขูดพิษจะทำกันได้ง่ายไม่มีอันตรายก็จริง แต่ก็มีข้อควรระวังหรือข้อยกเว้นที่ต้องรู้เกี่ยวกับการขูด กัวซา ไว้เช่นกัน 1.สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจไม่ควรทำการ กัวซา เพราะอาจทำให้เกิดภาวะฉุกเฉิน อาการกำเริบขึ้นในระหว่างการทำ กัวซา 2.ผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งไม่ควรทำการ กัวซา เพราะอาจจะทำให้เซลล์มะเร็งแตกตัวได้ 3.ผู้ที่มีปัญหาบาดแผล เช่น สิว ฝี หนอง แผลพุพอง ไม่ควรทำการ กัวซา เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื่อได้ 4.สตรีมีครรภ์ไม่ควรทำการ กัวซา เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายแก่เด็กในครรภ์ได้ 5.สตรีที่อยู่ในระหว่างการมีประจำเดือน ไม่ควรทำการ กัวซา เพราะช่วงเวลานั้นร่ายกายมีการเสียเลือดอยู่หากทำการ กัวซา อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ และเป็นลมได้ 6.ผู้ที่มีอาการมึนเมา ท้องว่าง หรือกินอิ่มเกินไป ไม่ควรทำการ กัวซา เพราะอาจทำให้เกิดการวิงเวียนศีรษะ และเป็นลมในระหว่างการทำ กัวซา ได้ 7.ห้ามกัวซาบริเวณสะดือ 8.ผู้ที่กระดูกหักและยังไม่สมานติดกันดี ไม่ควรทำการ กัวซา ลงมือทำกัวซา...